พราหมณ์ ! ในธรรมวินัยนี้ เราสามารถบัญญัติ
กฎเกณฑ์แห่งการศึกษาตามลำดั
และการปฏิบัติตามลำดับได้เห
พราหมณ์ ! เปรียบเหมือนผู้ชำนาญการฝึก
ได้ม้าชนิดที่อาจฝึกได้มาแล
รับสวมบังเหียนก่อน แล้วจึงค่อยฝึกอย่างอื่นๆ ให้ยิ่งขึ้นไป
ฉันใด;พราหมณ์เอย ! ตถาคตครั้นได้บุรุษที่พอฝึก
ในขั้นแรกย่อมแนะนำอย่างนี้
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยดี
ในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็น
เป็นภัยแม้ในโทษที่เล็กน้อย
ทั้งหลายเถิด” ดังนี้.
พราหมณ์ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้มีศีล (เช่นที่
กล่าวนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะนำให้ยิ่งขึ้นไ
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้สำรวมในอินทรี
ทั้งหลาย : ได้เห็นรูปด้วยตาแล้ว จักไม่ถือเอาโดยนิมิต
(คือรวบถือทั้งหมด ว่างามหรือไม่งามแล้วแต่กรณ
โดยอนุพยัญชนะ (คือแยกถือเอาแต่บางส่วน ว่าส่วนใดงามหรือ
ไม่งามแล้วแต่กรณี), บาปอกุศล กล่าวคืออภิชฌาและโทมนัส
มักไหลไปตามอารมณ์ เพราะการไม่สำรวมจักขุนทรีย
เป็นเหตุ เราจักสำรวมอินทรีย์นั้นไว้
จักขุนทรีย์” ดังนี้
.(ในกรณี โสตินทรีย์คือหู ฆานินทรีย์คือจมูก ชิวหินทรีย์คือลิ้น
กายินทรีย์คือกาย และมนินทรีย์คือใจ ก็มีข้อความนัยเดียวกัน).
พราหมณ์ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้สำรวมอินทรีย์
(เช่นที่กล่าวนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะนำให้ยิ่งขึ้นไ
อีกว่า
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้รู้ประมาณในโภ
อยู่เสมอ จงพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงฉ
เพื่อมัวเมา เพื่อประดับตกแต่ง, แต่ฉันเพียงเพื่อให้กายนี้
ตั้งอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อป้องกันความลำบาก
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์, โดยคิดว่า เราจักกำจัดเวทนาเก่า
(คือหิว) เสีย แล้วไม่ทำเวทนาใหม่ (คืออิ่มจนอึดอัด) ให้เกิดขึ้น,
ความที่อายุดำเนินไปได้ ความไม่มีโทษเพราะอาหาร และ
ความอยู่ผาสุกสำราญ จักมีแก่เรา” ดังนี้.
พราหมณ์ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้รู้ประมาณ
ในโภชนะ (เช่นที่กล่าวนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะนำ
ให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงประกอบความเพียรใน
ธรรมเป็นเครื่องตื่น (ไม่หลับ ไม่ง่วง ไม่มึนชา). จงชำระจิต
ให้หมดจดสิ้นเชิงจากอาวรณิย
การนั่ง ตลอดวันยันค่ำ ไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี.
ครั้นยามกลางแห่งราตรี สำเร็จการนอนอย่างราชสีห์
(คือตะแคงขวา เท้าเหลื่อมเท้า) มีสติสัมปชัญญะในการลุกขึ้น
ครั้นถึงยามท้ายแห่งราตรี ลุกขึ้นแล้ว ชำระจิตให้หมดจด
จากอาวรณิยธรรม ด้วยการเดิน การนั่ง อีกต่อไป” ดังนี้.
พราหมณ์ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้ประกอบ
ความเพียรในธรรมเป็นเครื่อง
ตถาคตย่อมแนะนำให้ยิ่งขึ้นไ
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้ประกอบพร้อมด้
สติสัมปชัญญะ รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้า
การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้
การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม
การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, การไป
การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ การตื่น, การพูด
การนิ่ง” ดังนี้.
พราหมณ์ ! ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้ประกอบด้วย
สติสัมปชัญญะ (เช่นที่กล่าวนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะนำ
ให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า
“มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
ป่าละเมาะ โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำป่าช้า ป่าชัฏ
ที่แจ้ง ลอมฟาง (อย่างใดอย่างหนึ่ง). ในกาลเป็นปัจฉาภัตต์
กลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติ
เฉพาะหน้า,
ละ อภิชฌาในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา คอยชำระจิต
จากอภิชฌา;
ละ พยาบาท มีจิตปราศจากพยาบาท เป็นผู้กรุณา มีจิต
หวังความเกื้อกูลในสัตว์ทั้
ละ ถีนมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีจิตปราศจาก
ถีนมิทธะ มีสติสัมปชัญญะ คอยชำระจิตจากถีนมิทธะ;
ละ อุทธัจจกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ภายใน
คอยชำระจิตจากอุทธัจจกุกกุจ
ละ วิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวว่า
‘นี่อะไร นี่อย่างไร’ ในกุศลธรรมทั้งหลาย (เพราะความสงสัย)
คอยชำระจิตจากวิจิกิจฉา” ดังนี้.
ภิกษุนั้น ครั้นละนิวรณ์ห้าประการ อันเป็นเครื่อง
เศร้าหมองของจิต ทำปัญญาให้ถอยจากกำลังเหล่า
บรรลุฌานที่หนึ่ง มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก
แล้วแลอยู่; เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุฌาน
ที่สอง เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภ
แห่งใจ ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่ส
แล้วแลอยู่; เพราะความจางหายไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่สาม
อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล
อุเบกขา มีสติ มีการอยู่เป็นสุข” แล้วแลอยูู่; และเพราะ
ละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนั
และโทมนัสในกาลก่อน จึงได้บรรลุฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์
ไม่สุข มีแต่ความที่มีสติเป็นธรรมช
แล้วแลอยู่.
พราหมณ์เอย !
ภิกษุเหล่าใดที่ยังเป็นเสขะ
ไม่บรรลุอรหัตตผล ยังปรารถนานิพพานอันเป็นที่
จากโยคะ ไม่มีอื่นยิ่งไปกว่าอยู่, คำสอนที่กล่าวมานี้แหละ
เป็นคำสอนสำหรับภิกษุทั้งหล
ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว จบ
พรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลง
ได้แล้ว มีประโยชน์ตนอันบรรลุถึงแล้
ไปรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ, ธรรมทั้งหลาย
(ในคำสอน) เหล่านี้ เป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุข
และเพื่อสติสัมปชัญญะ แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ด้
อุปริ. ม. ๑๔/๘๒/๙๔.__
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น